การตั้งด่านตรวจเป็นสิ่งสำคัญของการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จากการศึกษาประวัติศาสตร์เกิดขึ้นมานานจนไม่ทราบแน่ชัดว่าเริ่มมาแต่ยุคใดสมัยใด อาจเกิดจากสมัยที่มนุษย์เริ่มอยู่กันแบบเป็นกลุ่มหรือชุมชนและมีการกำหนดเขตแดน โดยมีการตั้งด่านตรวจบริเวณทางเข้า-ออกเขตแดนของชุมชน เมื่อเขตแดนมีอาณาจักรกว้างขวางมากขึ้น จึงมีการตั้งด่านตรวจภายในบริเวณเขตแดนด้วย โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นเส้นทางผ่านที่ใช้ในการกระทำความผิด หรือเพื่อป้องกันกบฏหรือป้องกันสายลับของข้าศึกหรือป้องกันการรุกรานจากอาณาจักรอื่นๆ เป็นบริการสาธารณะเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยให้ประชาชน
ในยุคปัจจุบันการตั้งด่านตรวจถือเป็นรายได้หลักอันมหาศาลของสำนักงานตำรวจ ซึ่งบาง สน. เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำยอดรายเดือนเกี่ยวกับรายได้ที่เกิดจากการตั้งด่านตรวจ ทำให้เกิดข้อสังเกตว่ารายได้ที่เกิดจากการตั้งด่านตรวจหน่วยงานรัฐมีการทำบัญชีหรือไม่? รายได้ส่วนนี้นำใช้อะไรบ้าง? มีการตรวจสอบการทุจริตหรือยักยอกรายได้หรือไม่? ซึ่งประชาชนทุกคนอาจยอมรับกับการเสียค่าปรับ และถ้านำเงินค่าปรับไปพัฒนาประเทศ อาจทำให้เกิดความรู้สึกดีระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งด่านตรวจ
ดังนั้นจะได้อธิบายหลักกฎหมายเกี่ยวกับการตั้งด่านตรวจ มีสาระสำคัญดังนี้
หลักการและแนวทางการตั้งจุดตรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566 การตั้งด่านตรวจมีการตั้งด่านอยู่ 3 ประเภท คือ
- 1. ด่านตรวจ หมายถึง สถานที่ที่เจ้าพนักงานตำรวจออกปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้นเพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดในเขตทางเดินรถ โดยระบุสถานที่ไว้ชัดแจ้งเป็นการถาวร โดยได้รับอนุมัติจาก ครม. หรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวง หรือ กอ.รมน.แล้วแต่กรณี
- จุดตรวจ หมายถึง สถานที่ที่เจ้าพนักงานตำรวจออกปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้น เพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดในเขตทางเดินรถเป็นการชั่วคราวแต่ต้องไม่เกิน 24 ชั่วโมง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้วจะต้องยุบเลิกจุดตรวจดังกล่าวทันที โดยจะต้องได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาชั้นผู้บังคับการขึ้นไปของหน่วยที่ขอตั้งจุดตรวจนั้นๆ
- จุดสกัด หมายถึง สถานที่ที่เจ้าพนักงานตำรวจออกปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้น เพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดในเขตทางเดินรถ ในกรณีที่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วนเกิดขึ้นเป็นการชั่วคราว และจะต้องยุบเลิกเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจดังกล่าว
การตั้งจุดตรวจ เพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจออกมาปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้น เพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดในเขตทางเดินรถหรือทางหลวงนั้น ได้มีการแบ่งขั้นตอนออกเป็น 5 ส่วน คือ (1) พื้นที่เฝ้าระวังสังเกตรถต้องสงสัย (2) พื้นที่คัดกรอง (3) พื้นที่ตรวจค้นและกองอำนวยการ (4) พื้นที่คอยสกัดรถ และ (5) พื้นที่ควบคุมผู้กระทำผิด
- เป็นพื้นที่เฝ้าระวังสังเกตรถต้องสงสัย ได้แก่ ป้ายแจ้งเตือน ซึ่งจะแสดงข้อความว่าอีกกี่เมตรจะถึงจุดตรวจ โดยตั้งห่างจากส่วนคัดกรองประมาณ 150 เมตร เป็นระยะที่ผู้ขับขี่สามารถหยุดรถได้อย่างปลอดภัย ใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในที่ซ่อนพราง ไม่ปรากฏกาย ซึ่งหากพบรถต้องสงสัย มีความผิดปกติหรือไม่ถูกต้อง เช่น ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จะมีการแจ้งประสานไปยังส่วนคัดกรองทันที
- 2. เป็นพื้นที่คัดกรอง ได้แก่ (1) ป้ายไฟเตือนแสดงข้อความว่าข้างหน้ามีจุดตรวจหรือด่านตรวจ (2) ป้ายไฟจุดตรวจ แสดงให้ทราบว่าเป็นจุดตรวจของ สน.หรือ สภ. ใด และมีผู้ใดเป็นผู้ควบคุม (3) กรวยยางและรถตำรวจ โดยจอดเฉียง 45 องศา เพื่อบีบการจราจร และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ในการปฏิบัติจะมีเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 2 นาย ทำหน้าที่คัดกรองรถต้องสงสัย และแจ้งให้รถต้องสงสัยไปยังพื้นที่ตรวจค้น
- 3. พื้นที่ตรวจค้นและกองอำนวยการ ได้แก่ (1) ป้ายแสดงขั้นตอนการปฏิบัติของผู้ขับขี่ เพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อเข้าไปในพื้นที่ตรวจค้น (2) กล้องวงจรปิด ที่จะมีการบันทึกการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดการตั้งจุดตรวจ (3) พื้นที่อำนวยการ สำหรับผู้ควบคุมจุดตรวจเพื่อควบคุมการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ และให้บริการประชาชนที่เข้ามายังจุดตรวจ (4) ป้าย QR Code ประเมินความพึงพอใจการทำงานของเจ้าหน้าที่
การปฏิบัติเมื่อรถต้องสงสัยจากพื้นที่คัดกรองเข้ามาในพื้นที่ตรวจค้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการตรวจค้นโดยตรวจค้นผู้ขับขี่และผู้โดยสารก่อน โดยการตรวจแบบตามหลักยุทธวิธี จากนั้นจะทำการตรวจค้นรถหรือ จะมีกล้องวงจรปิดบันทึกการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากมีการตรวจค้นพบการกระทำความผิด จะควบคุมตัวผู้กระทำความผิดมายังพื้นที่อำนวยการเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป กรณีตรวจค้นไม่พบการกระทำความผิดจะให้ผู้ขับขี่สแกน QR Code เพื่อประเมินความพึงพอใจก่อนออกจากจุดตรวจ
- พื้นที่คอยสกัดรถ ได้แก่ รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ตำรวจ พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำรถ และอุปกรณ์หยุดรถ เช่น Stop Stick เพื่อทำหน้าที่สกัดรถต้องสงสัยหรือรถที่มีพฤติการณ์หลบหนีออกจากจุดตรวจ
- พื้นที่ควบคุมผู้กระทำผิด ได้แก่ รถควบคุม พร้อมเจ้าหน้าที่ควบคุมผู้กระทำความผิดอย่างน้อย 2 นาย ทำหน้าที่ควบคุมผู้กระทำความผิดซึ่งถูกส่งตัวจากพื้นที่ตรวจค้น ควบคุมตัวไปยัง สน.หรือ สภ. หรือพื้นที่ทำการ ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมพื้นที่ อุปกรณ์ และกำลังพลในการตั้งจุดตรวจเรียบร้อยแล้วจะมีการเข้าแถวรวมพลเพื่อชี้แจงข้อปฏิบัติและตรวจตราความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกาย แล้วจึงสามารถดำเนินการดูแลประชาชนได้ ซึ่งหากรถยนต์ของประชาชนที่เข้ามาในพื้นที่ตรวจค้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย หรือการกระทำผิดอื่นๆ ก็จะให้ขับรถออกไปจากจุดตรวจค้นได้ทันที แต่หากกรณีที่มีการค้นพบสิ่งผิดกฎหมายหรือการกระทำผิดอื่นๆ จะมีการเชิญลงจากรถเพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจค้นโดยละเอียด และแจ้งข้อกล่าวหาที่ตรวจพบ จากนั้นจึงควบคุมตัวผู้กระทำผิดขึ้นรถที่จัดเตรียมไว้
ในกรณีที่มีการพยายามหลบหนีจุดตรวจ หรือพยายามขับรถหนีซึ่งสันนิษฐานได้ว่าอาจจะเกิดจากกระทำผิดกฎหมายหรือมึนเมา เจ้าหน้าที่จะมีการนำอุปกรณ์ Stop Stick เข้าขัดขวางโดยทันทีเพื่อให้รถดังกล่าวไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้
ผู้อ่านควรศึกษาเพิ่มเติมจากคู่มือการตั้งด่านตรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ที่ทำการตรวจ ซึ่งประชาชนหลายคนอาจพบเห็นการตั้งด่านตรวจที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การตรวจจับความเร็วที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ควรมีกฎหมายที่ถูกต้องเข้ายืนยันกับเจ้าหน้าที่ ประกอบกับทางหน่วยงานรัฐควรมีมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่ที่มีการตั้งด่านตรวจที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือตั้งด่านตรวจที่สื่อไปทางทุจริตหรือยักยอกค่าปรับของประชาชน ควรมีการเปิดเผยบัญชีค่าปรับต่อประชาชน
ซึ่งในสังคมปัจจุบันประเทศต่างๆ มีการแสวงผลประโยชน์จากการประกอบธุรกิจข้ามชาติกันมากขึ้น สังเกตได้จากในกรุงเทพมหานคร เขตสีลม สาทร อโศก ทองหล่อ เอกมัย เพลินจิต รัชดา ห้วยขวาง บางนา และชิดลม กรุงเทพฯ อาจจะเป็นศูนย์กลางของที่พักอาศัยของชาวต่างชาติหรือนักธุรกิจข้ามชาติ ทำให้เกิดปัญหาการก่ออาชญากรรมข้ามชาติในรูปแบบต่างๆ เช่น ขนส่งยาเสพติด ขนส่งอาวุธเถื่อน การค้ามนุษย์ การจัดทำสื่อลามกอนาจาร การประกอบธุรกิจขนาดใหญ่โดยใช้ชื่อคนไทย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และขนส่งสินค้าหนีภาษีนำมาขายตัดราคากัน ฯลฯ และการกระทำความผิดดังกล่าวกระจายออกต่างจังหวัดมากมาย
การตั้งด่านตรวจจึงเป็นส่วนสำคัญประการหนึ่งในการควบคุมการกระทำความผิดต่างๆ ขอบคุณครับ
ผศ.ปองปรีดา ทองมาดี
(ประธานหลักสูตรนิติศาสตร์)