เรื่องราวที่ผมจะเล่าให้ท่านผู้ประพฤติธรรมทุกท่านได้สดับในลำดับต่อไปนี้ จะใช้นามสมมุติของตัวละครทุกคน เพื่อไม่ให้เกิดความมัวหมองกับตัวละคร และทายาทของตัวละครที่ส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่!!!
ตรงข้ามกำแพงวัดตะไกร ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี
นอกจากจะมีร้านกาแฟ เอี่ยมเจริญ ของจีนเอี่ยมชุ้น ซึ่งตั้งอยู่ในห้องแถวถัดจากร้านตัดผมของตาเกลื่อน นักตะกร้อลอดห่วงกับยายมีแล้ว ยังมีร้านเจ๊กกว้างที่ขายก๋วยเตี๋ยว กวยจั๊บ และข้าวต้มเครื่อง ยังมีร้านตางิ้มขายเนื้อหมูสด ร้านเจ๊กซอขายสุรายาเมา หมูพะโล้ ต้มจับฉ่ายที่รสโอชะ ยังมีอาหารตามสั่งที่แสนโอชากว่ากับข้าวสำเร็จรูปในหม้อ
ห้องแถว 2 ชั้นที่ยืดยาวไปทางท้ายวัดตะไกรยังมีร้านขายผักของเจ๊กจี่ ร้านตัดเสื้อผ้าซึ่งเปิดเป็นโรงเรียนสอนตัดเย็บเสื้อผ้าของป้าเกียว ร้านขายข้าวสารของป้าอิม บ้านพักอาศัยใหญ่โต 2 ชั้น หลังหลังคาทรงมนิลาของป้าจารนัย ลูกสาวลุงเสงี่ยมป้านกเล็ก เศรษฐีแห่งหย่อมย่านบ้านวัดตะไกร
และยังมีร้านกาแฟ ร้านเพาะเป็ด เพาะไก่ ร้านขายไข่ ร้านขายสินค้าจิปาถะ ที่จำเป็นต่อการครองชีพของชาวบ้านในสมัยเมื่อ 60 กว่าปีก่อนอย่างครบครัน เช่น น้ำมันหมู น้ำมันก๊าด น้ำมันเบนซิน ฯลฯ เชือกว่าว ด้ายเส้นโตๆสำหรับเย็บแห ยอ ข่ายดักปลา ต่อด้วยอู่ซ่อมรถของลุงเทียนป้าเฮียะ ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าของป้าเหี่ยงลุงเจริญ ร้านเสริมสวยของน้ากุ๊ ครูเรือง อู่สารพัดช่างของไซ่ฮู่ ร้านซักรีดของป้าจวนกับลุงเอี๊ยง
ย้อนกลับมาทางหน้าวัดตะไกร ถัดจากร้านตัดผมของตาเกลื่อนยายมี มีตรอกแคบๆเข้าไปสู่กลุ่มบ้านของก๋งตี๋ ยายพเยาว์ ป้าเต่าลุงสวัสดิ์ ลุงปิ่นป้าผวน ป้านงค์ลุงชิต ลุงเจริญไปรษณีย์ป้าจงดี ยายดำตาหลีผู้ชำนาญการขนมไทย ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย และข้าวเหนียวมะม่วง
เป็นสังคมชนบทที่ห่างตัวตลาดจังหวัดสุพรรณเพียงมีแม่น้ำท่าจีน(สุพรรณ)คั่น โดยมีตลาดเมืองสุพรรณอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ ซึ่งสงบงามน่าอยู่ แทบไม่มีคดีความหรือเหตุการณ์ร้ายใดๆ นอกจากเหตุการณ์โกลาหลครั้งใหญ่จากบ้านหลังใหญ่ของยายเครือจันทร์ที่อยู่ติดกับตรอกแคบๆตรงข้ามกำแพงวัดตะไกร ซึ่งมีต้นมะขามยักษ์อยู่ตรงมุมตะวันตกเฉียงใต้ในมุมรั้วคอนกรีตสูงทึบหน้าบ้าน ส่วนข้างๆบ้านและหลังบ้านเป็นรั้วสังกะสีเก่าสนิมจับ สูงราว 3 เมตร พ้นสายตาของคนภายนอกที่จะสอดส่องเข้าไปได้
เหนือรั้วสังกะสีขึ้นไปอีก 1 เมตร เป็นรั้วลวดหนามล้อมรอบบ้านที่มีเนื้อที่ของเรือนไทย 5 หลังกว้างกว่า 1 ไร่ หลังคาเชื่อมปิดติดกันทั้ง 5 หลังกันแดดกันฝนได้เหมือนศาลาวัดตะไกร
คฤหาสน์ใต้ถุนสูงหลังคาทรงไทยบ้าง ทรงมนิลาบ้าง ซึ่งเชื่อมกันด้วยพื้นไม้ผืนเดียวกันหลังนี้ คือบ่อนการพนันที่ยิ่งใหญ่ย่านวัดตะไกร ตำบลท่าพี่เลี้ยง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี เมื่อ 60 กว่าปีที่ผ่านมา
เรือนทั้ง 5 หลังที่รวมทั้งเรือนครัวหรือครัวไฟนั้น มีห้องหับน้อยใหญ่มากมายหลายห้อง จากเดิมเป็นห้องนอนสำหรับพักอาศัยก็ปรับเป็นห้องเล่นไพ่ป๊อก ไฮโลว์ ไพ่ผ่อง ไพ่นกกระจอก ฯลฯ
ห้องหับไม่พอเล่นก็ขยับขยายกระจายออกมาตั้งวงปูเสื่อบนพื้นห้องโถงกระจายออกไปทั่วบ้าน สถานการณ์ครึกครื้นเหมือนตลาดนัด บางวงส่งเสียงดังโดยไม่กลัวว่าเสียงจะเล็ดลอดออกไปนอกรั้วบ้าน บางวงเคร่งเครียดเงียบสงัดบรรยากาศชวนอึดอัด
ที่เล่นได้ก็เบิกบานร่าเริง ที่เล่นเสียก็อารมณ์เสีย ส่งเสียงด่าแช่งดินฟ้าอากาศโขมงโฉงเฉง ก่นโคตรกันถึงโคตรพ่อโคตรแม่ ในบางห้องก็ส่งเสียงดังคับบ้าน ก้องลงไปถึงถนนหลวงในหมู่บ้านเหมือนไม่กลัวเกรงเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ป้อมตำรวจที่ตั้งอยู่ในบริเวณลานวัดตะไกร ห่างจากคฤหาสน์หลังใหญ่ของยายเครือจันทร์ไม่ถึง 200 เมตร มีตำรวจยศจ่า ยศนายสิบ นายดาบตำรวจ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาอยู่ประจำป้อมคนละหลายๆเดือน
แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะกวดขัน จับกุม ห้ามปราม ครั้นเมื่อมีการสอบถามตำรวจประจำป้อมยาม ก็ได้รับคำตอบว่า ยายเครือจันทร์ตีตั๋วหรือขออนุญาตเล่นการพนันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงไม่มีตำรวจจากโรงพักอำเภอเมืองสุพรรณบุรีไปรบกวนจับกุม
วันดีคืนร้าย เป็นวันเสาร์-อาทิตย์ ตอนบ่ายๆ ผมไม่ได้ไปโรงเรียน นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงใต้ชายคาเรือนตรงนอกชานบ้านยายพเยาว์และก๋งตี๋ของผม
เสียงเอะอะและเสียงฝีเท้าคนวิ่งบนเรือนคฤหาสน์ของยายเครือจันทร์ดังโครมครามเหมือนโรงงิ้ว เสียงหวีดร้อง เสียงตะโกนโหวกเหวกฟังไม่ได้ศัพท์
ผมชะโงกมองจากหน้าต่างเรือนของก๋งตี๋ ข้ามรั้วสังกะสีบ้านยายเครือจันทร์ จึงได้เห็นเหตุการณ์ตำรวจนอกเครื่องแบบฝูงใหญ่ไล่ตะครุบตัวฝูงนักพนันซึ่งแตกฮือเหมือนผึ้งแตกรัง
เสียงร้องไห้ เสียงด่าทอ เสียงตะโกนดังลั่นแต่จับใจความไม่ได้
นักพนันบางคนโดดหน้าต่างเรือนสูงราว 3-5 เมตร ตกลงมาหลังกระแทกพื้นนอนร้องโอดโอยอยู่บนกองไม้กองกระเบื้องใต้ถุนบ้าน
บางคนวิ่งชนเสาเรือน ชนกรอบประตูเรือน หัวร้างข้างแตกไปตามๆกัน
สาวน้อยสาวใหญ่นักพนันวิ่งไปนั่งตำครกเปล่าๆอยู่ในครัวบ้าง นั่งหุงข้าวโดยไม่ได้ติดไฟในเตาบ้าง เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำโดยแออัดยัดเยียด 9 คน 10 คน ในห้องน้ำโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าปนเปกันไปทั้งชาย-หญิง
ตำรวจต้อนนักพนันขึ้นรถบรรทุกที่เตรียมมาเหมือนต้อนฝูงวัวฝูงควายเข้าคอกแล้วหันมาบอกกับ “ไทยมุง” ตอนที่ผมลงจากเรือนตามไปยืนดูเหตุการณ์ที่หน้าปากตรอกว่า “ขออนุญาต 3 อย่าง 3 วง แต่เล่นพนันตั้ง 9 อย่าง 10 อย่าง 9 วง 10 วง ตั้งหลายเดือนมาแล้ว และยังหยุดตีตั๋วมาตั้งหลายเดือน”
เป็นประสบการณ์ของชีวิตในวัยเด็กของผมที่ได้เห็นพฤติกรรมของนักพนันในแง่มุมหนึ่งของวงการพนันในท้องถิ่นชนบทที่ห่างไกลเมืองกรุง
ซึ่งยังมีอีกหลายแง่มุมที่จะวิสัชนาต่อไป #
//////////////////////////////
โดย “โกสินทร์ ปิ่นสุพรรณ”