เรายังมีความสุขกับ ประเพณีสงกรานต์ ที่ยังดำเนินไปอยู่ในเวลานี้ กว่าจะเลิกรากันไปก็เห็นจะถึงวันศุกร์ที่ 25 เมษายน โน้น !
‘ทวนลม’ งวดนี้ผมมีเรื่องอยากจะมาคุยกับพี่น้องชาวเกษตรกร โดยเฉพาะพี่น้องชาวนากับชาวไร่อ้อย
อาชีพเกษตรกร เป็นอาชีพที่ต้องใช้ทรัพยากรมาก โดยเฉพาะที่ดินกับน้ำ
และอาชีพนี้มีความเสี่ยงสูง เมื่อนำไปเปรียบกับอาชีพทางอุตสาหกรรม เพราะนอกจากต้องใช้ที่ดิน ใช้น้ำมากแล้ว อุณหภูมิหรือเรื่องภูมิอากาศก็มีผลต่ออาชีพนี้มาก
คิดเปรียบเทียบดูก็ได้ว่า ถ้าเราจะหารายได้สัก 1 หมื่นบาท ถ้าเป็นอาชีพทางอุตสาหกรรม เราอาจใช้ทรัพยากรไม่มาก เช่น นำเศษเหล็กมาตีเป็นมีดสวยๆสักเล่มหนึ่ง เราก็ใช้เชื้อเพลิง ใช้พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร ใช้เวลาก็ไม่มาก เพียงวันสองวัน ใช้แรงงานคนเพียงคนสองคนก็ทำได้แล้ว
แต่ถ้ามีอาชีพเป็นชาวนา ชาวไร่อ้อย ถ้าจะหาเงิน 1 หมื่นเท่ากัน ต้องใช้ที่ดินกี่ไร่ ? ใช้น้ำกี่ลูกบาศก์เมตร ? ใช้ปุ๋ย ใช้ยาฆ่าแมลงมากมายเพียงใด ? และต้องใช้คนกี่คน ? ใช้เวลาอย่างต่ำๆก็ประมาณเกือบ 4 เดือน ถ้าเป็นอ้อยก็เกือบปี
ครับ…ถึงอย่างไรก็ยังต้องมีเกษตรกร คือชาวนา ชาวไร่อ้อย
คราวนี้เราลองมาช่วยกันคิดดูว่า จะทำอย่างไรให้อาชีพนี้ยังต้องมีอยู่ ยังต้องการสร้างความร่ำรวยให้กับคนในอาชีพนี้ ได้ทัดเทียมกับอาชีพอื่นๆเขาได้บ้าง ?
ในประเทศที่เขาพัฒนาไปแล้ว เขาจะให้ความสำคัญกับอาชีพเกษตรกรรมมาก เพราะมีความเสี่ยงสูงกว่าอาชีพอื่น รัฐต้องดูแลมากเป็นพิเศษ เพราะไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีอาหารมาบริโภคกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้… สิ่งที่เราต้องดูแลคือ อย่างแรกจะต้องให้เกษตรกรมีที่ดินเป็นของตนเองได้อย่างไร ? เพราะที่ดินเป็นต้นทุนสำคัญยิ่งของอาชีพ
ต่อมาก็แหล่งน้ำ เพราะพืชทุกชนิดจะเจริญเติบโตให้ผลผลิตดี น้ำก็เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก เพราะน้ำจะไปช่วยย่อยสลายสารอาหารในดินให้รากพืชดูดขึ้นไปหล่อเลี้ยงลำต้น ผล ดอก ใบ รองลงมาอีกก็เมล็ดพันธุ์
แผ่นดินบนโลกใบนี้มีอายุมาหลายหมื่นแสนล้านปี ใช้กันมาจนที่ดินช้ำไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นการดูแลดินเป็นกรณีสำคัญในอันดับต้นๆ
ประเทศไทยเรา อาชีพเกษตรกรรม ต้องใช้ที่ดินที่ใช้ปลูกพืชทุกชนิด คิดแล้วมากเป็นอันดับหนึ่ง แต่สร้างรายได้น้อยกว่าอาชีพอุตสาหกรรมมาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงต้องมาคิดแล้วว่า ถ้าจะลดความเหลื่อมล้ำของฐานะคนในสังคม เราต้องดูแลอาชีพเกษตรกรรมให้มากกว่าอาชีพอื่นๆ
และคนในอาชีพเกษตรกรรมก็ต้องพัฒนาตนเองให้มากกว่าคนอื่น เพราะเป็นอาชีพที่ต้นทุนสูง แต่ให้รายได้ต่ำ
ยิ่งช่วงนี้มีเรื่อง PM 2.5 ขึ้นมารุกรานคนในสังคมมากขึ้นเพราะเรื่องผงฝุ่นมหาภัย
อาชีพชาวนา กับชาวไร่อ้อย จึงเป็นจำเลยของสังคม เพราะต้องเผาซากพืชคือฟาง กับใบอ้อย
ชาวนากับชาวไร่อ้อย ก็มีข้ออ้างว่าถ้าจะทำอาชีพนี้
อย่างไรเสียก็ต้องเผาฟางกับใบอ้อย นั่นเท่ากับว่าถ้าจะกินข้าว จะกินน้ำตาล คนทั้งประเทศก็ต้องยอมทนสูดอากาศเป็นพิษที่มีฝุ่นผงละออง PM 2.5 เข้าปอดกันทุกคน
เตรียมตัวเป็นมะเร็ง เป็นถุงลมโป่งพองกันทุกคนในอนาคต
รัฐบาลจะออกมาตรการรุนแรงกับคนเผาฟาง เผาใบอ้อย ไม่มีทางชนะเลย
ดังนั้น วันนี้ไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว ฝุ่น PM 2.5 ทุกคนต้องร่วมกันแก้ไข
นั่นคือ ผู้บริโภคข้าว และน้ำตาล ต้องยอมจ่ายเงินเพิ่มในการซื้อผลผลิตจากท้องนาท้องไร่ เพื่อจะได้นำเงินไปสนับสนุนเกษตรกร ในการกำจัดฟางและใบอ้อย เราจะผลักภาระไปให้พี่น้องเกษตรกรไม่ได้ เพราะต้นทุนและความเสี่ยงเขาสูงอยู่แล้ว
พี่น้องเกษตรกรชาวนา และชาวไร่อ้อย ก็ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนวิธีคิด ว่าต่อไปนี้การมีอาชีพนี้ ก็ต้องเลิกเผา
อ้างอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
รัฐบาลก็ต้องนำเงินที่เพิ่มจากภาษีที่เราจ่ายไปในฐานะผู้บริโภคต้องจ่ายเพิ่มในราคาข้าว ราคาน้ำตาล ไปสนับสนุนเกษตรกร โดยทำนาแบบไม่เผา ทำไร่อ้อยแบบไม่เผา เขาต้องเพิ่มต้นทุนอะไรบ้าง เพื่อจะไม่เผาฟาง เผาใบอ้อย
เราคิดอะไรได้มากแล้วเพียงแค่เรื่องเผาฟาง เผาใบอ้อยคงไม่ลำบากยากเข็ญจนคิดแก้กันไม่ได้
สรุป…ผู้บริโภคข้าว และน้ำตาล ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อเอาเงินไปให้ชาวนาชาวไร่ ลงทุนทำนาทำไร่อ้อยโดยไม่เผาฟางข้าวและใบอ้อย
ถ้าไม่อยากตายกันแบบผ่อนส่ง ถึงอย่างไรก็ต้องมาช่วยกันรับผิดชอบ
ชาวนาญี่ปุ่น ทำนาไม่เคยมีใครเผาฟางเลย เพราะถ้าเผา ไม่ว่าเผาอะไร คนในประเทศเขาไม่ยอมกัน เพราะเรื่องสุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญของทุกคน
รู้กันไว้ซะด้วย !
…………………………………………